เพลงสบายๆ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แจ็กเดอะริปเปอร์



             เรื่องราวของ แจ็กเดอะริปเปอร์ (Jack the Ripper) ชายผู้ที่อยู่ติดชาร์จในหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษและทั่วโลกที่รู้จักกันดีคนนี้ เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าหญิงโสเภณีในย่านสลัม ไวต์ชาเปล ของลอนดอนช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ปี 1888 ฟังดูเหมือนว่า “เขาก็แค่ฆาตกรคนหนึ่งเท่านั้นเอง” ทำไมถึงได้ดัง ทั้งที่ฆาตกรโหด ที่โดดเด่นและฆ่าเหยื่อมากกว่าเขาก็มีมาก 
คำตอบก็คือ ชายผู้นี้ยังไม่เคยโดนจับได้เลยตั้งแต่เขาก่อคดีสะเทือนขวัญในลอนดอนมา ทั้งยังการฆ่าที่โหดและสยดสยอง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเหยื่อโดยการผ่าท้อง และลากเอาไส้มาแขวนไว้ที่เสาไฟฟ้า การแขวนศพเหยื่อไว้บนกำแพง ฯลฯ และ ที่สำคัญไม่มีข่าวรายงานเลยว่ามีคนที่เคยเห็นหน้าแจ๊คด้วยซ้ำไป กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้ๆ แม้แต่ตอนที่แจ๊คลงมือยังแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร ที่ผิดปกติเลยโดยเหยื่อนั้นเสียชีวิตจากการถูกของมีคมแทงหรือไม่ก็ชำแหละ คมมากจนถึงขนาดตัดกระดูกออกมาได้ จนกระทั้ง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ หยุดการกระทำหฤโหด ทิ้งปริศนาไว้ตลอดกาลว่าเขาคือใครกันแน่?
อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ แจ็กเดอะริปเปอร์ (Jack the Ripper)  ยังคงปริศนาอันดับ 1 สร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ที่ยังคงค้างคาใจหลายๆ คนมาจนถึงทุกวันนี้ อาจจะมาจากเหตุผลที่ว่าในสมัยนั้นการพิสูจน์หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกรก็เป็นได้ .. แต่ถ้าเรื่องนี้ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ย ที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นอาจไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริง ผู้นั้นคือใคร ? ต่อจากนี้ไปเรามารับรู้เรื่องราวอันเป็นตำนานนี้ไปพร้อมๆ กัน


 แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

     แจ็กเดอะริปเปอร์ ( Jack the Ripper) เป็นสมญาของฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนในย่าน “ไวต์ชาเปล” ถิ่นยากจนใกล้นครลอนดอน ใน ช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1888  โดยฉายานี้ได้มาจากข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่ลงข่าวจดหมายลึกลับที่เขียนถึงสำนักข่าวกลางโดยผู้เขียนที่อ้างตนว่า เป็นฆาตกร ถึงแม้จะมีการสืบสวนและมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากมาย แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรได้เลย
–  ตำนานเล่าขาน ฆาตกรแจ็กเดอะริปเปอร์ นี้ทำให้เกิดการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและนิทานพื้นบ้าน การขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดทำให้เกิดคำว่า “นักริปเปอร์วิทยา” มาใช้เรียกนักประวัติศาสตร์และนักสืบสมัครเล่นที่ศึกษาคดีอันโด่งดังนี้เพื่อกล่าวหาหรือพาดพิงถึงบุคคลต่าง ๆ ว่าคือตัวริปเปอร์
–  หนังสือพิมพ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มสูงมากในช่วงนี้โทษว่าเป็นเพราะความล้มเหลว ของตำรวจที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำให้ฆาตกรได้ใจและท้าทาย เหตุการณ์จึงเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา บางครั้งตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุหลังเกิดการฆ่าเพียง 2-3 นาที แต่กลับไม่ได้ตัวคนร้าย
–  เหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นโสเภณี ฆาตกรรมส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ เหยื่อทุกรายถูกเชือดคอ หลังจากนั้นซากศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ คาดกันว่าเหยื่อจะถูกรัดคอให้เงียบเสียงก่อนลงมือฆ่า มีหลายกรณีที่มีการตัดอวัยวะภายในออก จึงมีผู้อนุมานว่าฆาตกรอาจเป็นศัลยแพทย์หรือไม่ก็คนขายเนื้อ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้



เหตุการณ์ฆาตกรรมโหด โดย แจ็กเดอะริปเปอร์ ( Jack the Ripper

–  31 สิงหาคม ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก แมรี่ แอนน์ นิโคลส์ (เวลา 03:45 น.  Whitechapel , London)ย่าน สลัมที่แออัดเขต Whitechapel ของลอนดอน ศพของแมรี่ แอนน์ นิโคลส์ ถูกปาดคอเข้ามาที่ทั้งสองด้านจนศรีษระเกือบจะหลุด และที่ส่วนท้องก็ถูกชำแหละด้วยมีดยาวอย่างโหดเหี้ยม ตรอกตรงที่เกิดเหตุทั้งเปลี่ยวและมืด และไม่มีใครสัญจรไปมาในช่วงเช้าตรู่ มันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับพวกโจรหรือฆาตกร มีหญิงโสเภณีมากมายที่มาหาลูกค้าอยู่ และทุกคนก็รู้ว่ามีจุดที่เงียบสงบตรงไหนบ้างที่จะทำธุระส่วนตัว ฆาตกรน่าจะเป็นคนที่รู้จักพื้นที่นี้ดี ฆาตกรผู้นี้มุ่งเป้าหมายไปยังพวกผู้หญิงหากิน และรู้ว่าเหยื่อของเขาน่าจะพาไปยังที่ๆ เหมาะที่สุด หรือจุดที่แทบไม่มีใครสังเกตเห็น รูปแบบและพฤติกรรมของฆาตกรค่อยๆ ปรากฏขึ้น ดูเหมือนเขาจะโกรธและเกลียดพวกผู้หญิงนี้อย่างมาก เมื่อเกิดคดีฆาตกรรม ความแตกตื่นจึงเกิดขึ้นทั่วพื้นที่ เมื่อผู้หญิงกลายเป็นศพทั่วลอนดอน หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าว และเกิดความบ้าคลั่งในการแย่งกันเพื่อระบุรายละเอียดของฆาตกรและข้อมูลที่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์ลงรูปวาดต่างๆที่เกี่ยวกับการฆาตกรรม นั่นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของแจ๊คเดอะริปเปอร์ดูน่ากลัว ซึ่งบางส่วนก็เป็นการแต่งเติมของสื่อส่วนหนึ่ง จดหมายที่อ้างว่ามาจากฆาตกรรายนี้เริ่มปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์ โดยนักหนังสือพิมพ์ที่ไร้จรรยาบรรณบางคน



–  8 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง แอนนี่ แชปแมน 
เธอถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ส่วนคอก็มีบาดแผลลึกมากไปถึงกระดูกด้านหลัง ส่วนท้องทั้งหมดก็ถูกคว้านออกมา สิ่งที่หายไปก็คือมดลูก มันไม่ใช่แค่การคว้านไส้และนำอวัยวะออกมาเท่านั้น จุดเด่นก็คือมันเป็นความพยายามกระทำกับสิ่งที่บ่งบอกเพศของเหยื่อ มันเป็นความพยายามและต้องใช้เวลาอย่างมาก มีการระบุว่าพบมีดที่อาจเป็นของฆาตกร มันมีความคมและถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ และมีความคล้ายคลึงกับมีดผ่าตัดของแพทย์ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกลักษณะของฆาตกรรายนี้ได้ รายละเอียดของการฆาตกรรมระบุว่าฆาตกรต้องมีความรู้ด้านการแพทย์ กายวิภาค สรีระร่างกาย
–  25 กันยายน ค.ศ. 1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊ก เดอะ ริปเปอร์”
–  30 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สาม Elizabeth Stride กับสี่  Catherine Eddowes  ในเวลาไล่เลี่ยกัน บนถนน Birners ศพของเธอถูกปาดคอ และมีรอยฟกช้ำที่หัวไหล่ ดูเหมือนว่าอาจมีใครสักคนมาขัดจังหวะฆาตกร ศพของเธอจึงไม่ถูกชำแหละเหมือนรายอื่น ไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังจากนั้นเมื่อเวลา 01:45 น. ก็มีคนพบศพ Catherine Eddowes เหยื่อรายที่ 4 ศพของเธอถูกหั่นไม่มีชิ้นดี โดนควักลูกตา เฉือนจมูก ลำคอถูกเชือด ช่องท้องถูกกรีดเป็นบาดแผลเหวอะ ไม่มีไต ไตข้างซ้ายของเธอและมดลูกถูกตัดออก โดยมีข้อความเขียนไว้บนกำแพงในละแวกที่ พบศพว่า “The Juwes are the men that Will not be Blamed for nothing.” แปลความได้ว่า “ชาวยิวเป็นกลุ่มคนที่จะไม่ถูกกล่าวโทษ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม”
–  1 ตุลาคม ค.ศ. 1888 ไปรษณีย์บัตร์ “แจ๊คจอมซ่าส์”ถึงสำนักข่าวเดิม
–  16 ตุลาคม ค.ศ. 1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีก ไปให้จอร์ชประธานคระกรรมการป้องกัน ภัยไวต์แซพเพล



–  9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย แมรี่ เจน เคลลี่
เกิด การฆาตกรรมเหยื่อรายสุดท้ายที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คราวนี้เหยื่อเป็นโสเภณีที่อายุอานามครบวัยเบญจเพศพอดี แมรี่ เจน เคลลี่ นอนตายเป็นศพอยู่ในห้องพักของตนเอง สภาพศพของเธอเละจนไม่มีชิ้นดี อยู่ในสภาพนอนกางขาบนเตียงนอน ผิวหนังโดนถลก มีมดลูกกองอยู่ปลายเท้า มือข้างหนึ่งถูกจับล้วงเข้าไปในท้องที่โดนควักตับไตไส้พุงออก หัวใจถูกปลิดออกจากขั้วหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง ทั้งนี้เป็นที่รับรู้กันว่าตอนนั้นเคลลีกำลังตั้งครรภ์ บนผนังห้องของเธอปรากฏข้อความ “the juwes are the men that will not be blamed for nothing.” เช่นเดียวกับข้อความที่พบบริเวณของเหยื่อรายที่สี่
–  31 ธันวาคม ค.ศ. 1888 พบศพมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คจมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
–  ค.ศ. 1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1919
–  ค.ศ. 1892 ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยหาผู้กระทำความผิดไม่เจอ



ใครกันคือ แจ็กเดอะริปเปอร์? ( Jack the Ripper) ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม 

     ข้อมูล ที่ผ่านๆ มามีการรายงานเกี่ยวกับการสืบหาฆาตกรในเรื่องนี้ ซึ่งก็มีหลายคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่มีอยู่ 2 รายที่ดูท่าทีว่าอาจจะเป็น ฆาตกร แจ็กเดอะริปเปอร์ ( Jack the Ripper) ตัวจริง! คนหนึ่งเป็นคนที่อ้างว่าเป็นแพทย์ชาวอเมริกัน ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงที่ฆ่าภรรยาและลูกของชายชู้ของเธอ

1. ผู้ต้องสงสัยแพทย์ชาวอเมริกัน ฟรานซีส ทัมเบิลตี้
    ก็เป็นคนที่มีความรู้เหล่านี้ หมอทัมเบิลตี้ไม่เคยเป็นที่รู้ของประชาชนทั่วไปว่าตกเป็นผู้ต้องสงสัยจน กระทั่งมีการพบจดหมายฉบับหนึ่งที่มาจากหน่วยงานของสก็อตแลนด์ยาร์ดที่บอกว่า พวกเขากำลังสงสัยชายคนนี้ รายงานนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 1913 หน่วยพิเศษของสก็อตแลนด์ยาร์ดหรือหน่วยข่าวกรองลับ มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟรานซีส ทัมเบิลตี้ว่าเขามักจะแต่งตัวเป็นทหารและอ้างว่าทำงานให้กับกองทัพ จากรูปถ่ายของเขาเครื่องแบบที่เขาใส่ผิดปกติมากและมันน่าจะเป็นชุดทหารปลอม
ฟราน ซีส ทัมเบิลตี้ดูเหมือนศิลปินที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาตั้งแต่วัยรุ่น เขาเติบโตขึ้นมาในโรเชสเตอร์ นิวยอร์ค และพอผ่านช่วงวัยรุ่น เขาก็กลายเป็นแพทย์คนหนึ่ง เขาสร้างเรื่องอื้อฉาวด้วยการขายสมุนไพรและยาปลอมไปทั่วอเมริกา และเมื่อปัญหาเริ่มปรากฏ เขาก็รีบย้ายออกจากอเมริกาทันที หลักฐานระบุว่าเขาเดินทางมาอังกฤษเมื่อเดือนมิถุนายนปี 1888 และช่วงเวลาที่เกิดคดีแจ๊คเดอะริปเปอร์ เขาก็อยู่ในลอนดอนด้วย หลักฐานระบุว่าเขาอาศัยอยู่ในย่านถนน Batty Street ซึ่งอยู่ติดกับถนน Birners เป็นที่เกิดเหตุที่เหยื่อรายที่สามและสี่ถูกฆาตกรรมในครั้งเดียวกันที่ถูก เรียกว่าการลงมือฆ่าซ้อน เจ้าของอพาร์ตเม้นท์แจ้งว่าชายอเมริกันที่มาเช่าพักหายตัวไปในคืนวันนั้น

2. แมรี่ เพียร์ซี่
    ได้เสียชีวิตไปในปี 1890 หลังจากฆ่าภรรยาและลูกของชายชู้ของเธอ การฆ่าของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เธอปาดคอเหยื่อฆาตกรรมของเธอคนนั้นลึกมากจนมันแทบจะหลุดออกมาเลยทีเดียว ก่อนถูกตัดสิน เพียร์ซี่ได้เขียนจดหมายถึงครอบครัวของเธอ ทำให้ได้เห็นถึงจิตใจของเธอ 
มี ข่าวลือว่าจริงๆ แล้วแจ๊คเดอะริปเปอร์อาจจะเป็นผู้หญิงที่จงเกลียดจงชังผู้หญิงหากิน แต่ตำรวจในตอนนั้นไม่คิดว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นผู้หญิง แต่จากการทดสอบในปัจจุบันที่พบว่า DNA ที่อยู่ในน้ำลายที่ปิดผนึกจดหมายที่น่าจะเป็นของฆาตกรนั้นเป็น DNA ของผู้หญิง ทางทีมงานจึงได้ทดสอบว่าเป็นไปได้มั้ยที่ผู้หญิงจะมีแรงพอที่จะฆาตกรรมคนได้ อย่างโหดเหี้ยมและรุนแรง ทีมงานได้ทดสอบด้วยการใช้เครื่องวัดแรงกดที่กระทำต่อเหยื่อโดยให้ผู้หญิงที่ มีรูปร่างพอๆ กับ  แมรี่ เพียร์ซี่ ผู้ต้องสงสัย ออกแรงบีบคอและกดเหยื่อหุ่นจำลองซึ่งมีเครื่องวัดแรงกดนั้นอยู่ด้านล่าง หลังการทดสอบพบว่าเป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะสามารถออกแรงกดและบีบคอเหยื่อให้หมด สติภายในเวลาสั้นๆ เหมือนอย่างที่แจ๊คเดอะริปเปอร์ทำกับเหยื่อ การฆาตกรรมโหดสองแม่ลูกของแมรี่ เพียร์ซี่ ก็คล้ายกันมากกับคดีของแจ๊คเดอะริปเปอร์ แมรี่มีความสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว ด้วยความอิจฉาริษยา เธอฆ่าภรรยาและลูกของเขา เธอหลอกล่อเหยื่อมาที่บ้านของเธอและสังหารเหยื่อด้วยที่เขี่ยไฟในเตาผิง เธอนำทารกใส่เข้าไปในเตา หลังจากนั้นก็นำศพของทั้งสองใส่ลงในรถเข็นเด็กเพื่อนำออกไปทิ้งให้ไกลจาก บ้านของเธอ ศพของผู้หญิงคนนั้นถูกพบโดยที่ลำคอมีบาดแผลที่ลึกมากซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการ ฆ่าของแจ๊คเดอะริปเปอร์ และในคำให้การของแมรี่ เพียร์ซี่ที่เธออ้างว่าเธอไม่มีทางเลือก เธอต้องนำศพของผู้หญิงคนนั้นใส่ลงในรถเข็นเด็ก เพื่อที่จะนำศพยัดลงไปในรถเข็นเด็ก เธอจึงต้องตัดส่วนคอลงไปลึกมากเพื่อให้ศพสามารถยัดลงไปได้


3. เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิคเตอร์ หรือเจ้าชายเอดดี ดยุคแห่งแคลเรนซ์ 
    หนังสือ หลายเล่มอ้างว่าพระองค์เคยเสด็จไปเที่ยวซ่องในย่านอีสต์เอนด์ และสันนิษฐานว่าพระองค์เรียนรู้เทคนิคในการชำแหละมาจากการล่าสัตว์ และทรงติดเชื้อซิฟิลิส (เหมือนลำยอง ทองเนื้อเก้าไง !) ขณะที่สาเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากอาการปอดอักเสบ หนังสือหลายเล่มชี้ว่าพระองค์เป็นผู้ลงมือเองหรือไม่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการฆาตกรรมเพื่อปิดปังพฤติกรรมอันเหลวแหลก
ทฤษฎีนี้แพร่หลายมาก เพราะนักประวัติศาสตร์มีชื่อ อย่างไรก็ตามสาวกของแจ็คส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากบันทึกเกี่ยวกับพระกรณียกิจของเจ้าชายยืนยันว่าในขณะที่การฆาตกรรม เกิดขึ้นพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในลอนดอนเลย อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีนี้โต้ว่าเจ้าชายเอดดีอาจจะแอบมาลอนดอน หรือมิเช่นนั้นบันทึกของทางการอาจจะเป็นสิ่งที่ “แต่ง” ขึ้นมาก็ได้

4. มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ 
    เขาเป็นครูและศึกษาด้านการแพทย์ขณะที่สอบได้เนติบัณทิตแล้ว ดริตต์มาจากครอบครัวที่ดีและมีการศึกษาแต่กลับมีอาการวิกลจริต สองวันหลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนแบล็กเฮลท์เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยการ ถ่วงตัวเองให้จมน้ำด้วยหินที่ซุกไว้ตามกระเป๋า และทิ้งข้อความลาตายไว้ว่า “ตั้งแต่วันศุกร์แล้วผมรู้สึกว่ากำลังจะเป็น (บ้า)เหมือนแม่ และการตายคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้”
ตำรวจ พบกระดาษโน้ตจากศพของเขาที่ลอยมาตามแม่น้ำเทมส์เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 1888 ทั้งนี้ เขาหายตัวไปหลังจากที่พบศพเหยื่อรายที่ 5 ได้ไม่นาน การสอบสวนของตำรวจระบุว่าเขาฆ่าตัวตายเนื่องจากอาการซึมเศร้า และสรุปว่าเขาคือแจ็คเดอะริปเปอร์ ตำรวจปิดคดีได้สำเร็จโดยที่เขาตกเป็นแพะรับบาป มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมเสียเองกันแน่ ขณะที่การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ซึ่งแสดงต่อศาลระบุว่าการตายของเคลลีและการตายของดริตต์มีความเกี่ยวโยง กัน บ้างระบุว่าดริตต์มีอาการป่วยทางจิตหลังจากการสังหารเหยื่อรายที่ 5 ของเขา

5. อารอน โคสมินสกี้ 
    เป็นผู้ต้องสงสัยของทางการหมายเลขสอง รองจากมอนเทกิว จอห์น ดริตต์ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยอยู่ในละแวก white chapel เขาเคยถูกพยานที่อ้างว่าเห็นฆาตกรชี้ตัว แต่ภายหลังพยานคนดังกล่าวไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เท่าไร แต่การชี้พยานในครั้งนั้น ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาของสก๊อตแลนด์ยาร์ด ในฐานะว่าอาจจะเป็น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ตัวจริง ต่อมาภายหลังอารอน โคสมินสกี้เกิดอาการกำเริบทางจิต จนถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลในปี พ.ศ 2433 และจบชีวิตลงในปีพ.ศ 2462 ในขณะที่ตำรวจตรวจหาผู้ต้องสงสัย อีกด้านหนึ่ง เทรเวอร์ แมริออต อดีต นักสืบหัวเห็ดสังกัดเบดฟอร์ดเชียร์ซึ่งหันมาศึกษาเรื่องแจ็คด้วยเทคนิคสืบ สวนสมัยใหม่ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่า แจ็คเดอะริปเปอร์นั้นอาจจะไม่ใช่ชาวลอนดอน แต่เป็นกะลาสีชาวนิการากัวหรือเยอรมันซึ่งเดินทางมาค้าขายในอังกฤษและติดโรค ร้ายจากการเที่ยวผู้หญิงและต้องการแก้แค้น
หนังสือของเทรเวอร์ “Jack the Ripper: The 21st Century Investigation” บอกว่าตำรวจสันนิษฐานอย่างผิดๆ ว่าฆาตกรนั้นอาศัยและทำงานในอีสต์เอนด์ และตำรวจยังไม่รู้วันเวลาของการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยถูกทำให้เขวและเลือกที่จะไม่มองถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ลงมือนั้นอาจจะ เป็นกะลาสีเรือ




ลายมือของ  แจ็กเดอะริปเปอร์ ( Jack the Ripper

      การสืบสวนอีกอย่างหนึ่งคือการตรวจสอบลายมือของผู้ต้องสงสัยกับลายมือในจดหมาย ที่คาดว่าเป็นของแจ๊คเดอะริปเปอร์ เจ้าหน้าที่ได้รับจดหมายจำนวนมากที่อ้างว่าเป็นของฆาตกรรายนี้ แต่ส่วนใหญ่ถูกพิสูจน์แล้วว่ามันถูกปลอมขึ้นมา ยกเว้นจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาให้หน่วยลาดตะเวนของพลเรือน ซึ่งมันถูกส่งมาพร้อมกับไตข้างหนึ่งของมนุษย์ จดหมายนี้จ่าหน้าว่ามาจากนรก ไม่มีลายเซ็นต์อยู่ที่ท้ายจดหมาย มันมาพร้อมกับไตข้างหนึ่งของแคทเธอรีน เอ็ดโดว์ มันถูกเขียนเอาไว้ว่า “ผมส่งไตมาให้คุณครึ่งหนึ่ง มันถูกเอาออกมาจากผู้หญิงคนหนึ่ง และผมห่อเอาไว้อย่างดี ผมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เพื่อที่คุณจะได้กินได้ง่าย ผมอาจจะส่งมีดเล่มนั้นมาให้คุณอีก ถ้าคุณจะกรุณารอต่อไปอีกสักพัก ลงชื่อ มาจากผม ถ้าคุณทำได้” จดหมายฉบับนี้ได้หายไปจากห้องเก็บหลักฐานของสก็อตแลนด์ยาร์ด เมื่อปี 1950 แต่ยังมีสำเนาให้ทำการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ลายมือ นักวิเคราะห์ลายมือได้ระบุว่า ผู้ที่เขียนนี้มีลักษณะที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ที่ชอบล่วงละเมิดทางเพศผู้ อื่น และการสะกดคำในจดหมายสามารถระบุได้ว่าเป็นลักษณะการสะกดคำของชาวไอริช ซึ่งค่อนข้างระบุได้ว่าคนที่เขียนจดหมายนี้มีภูมิหลังเป็นชาวไอริช ซึ่งผู้ต้องสงสัยฟรานซิส ทัมเบิลตี้เป็นชาวอเมริกัน แต่พ่อของเขาเป็นชาวไอริช และเมื่อนำจดหมายจากนรกมาเปรียบเทียบกับจดหมายของทัมเบิลตี้ก็พบว่ามีความ คล้ายคลึงกันอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่พบว่าคล้ายกันก็คือการเชื่อมโยงคำที่ไม่ปกติ และการเขียนตัววายที่ลากหางยาวไปที่คำด้านล่างที่อยู่อีกบรรทัดหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือก็สรุปว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เขียนจดหมายจากนรกคือฟรานซิส ทัมเบิลตี้


สุดท้ายได้มีการวิเคราะห์พฤติกรรมของฆาตกร โดยกำหนดเป็นรูปแบบของฆาตกร (Criminal Profile) ไว้ดังนี้
– การเชี่ยวชาญด้านพื้นที่ ไม่มีความจำเป็น
– ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์ เพราะบาดแผลไม่ได้เฉียบคม ลักษณะบาดแผลบ่งบอกว่าฆาตกรมีความโหดเหี้ยม มีแรงจูงใจของคนที่ต้องการแก้แค้น
– ฆาตกรจงใจกระทำต่ออวัยวะที่แสดงลักษณะของเพศหญิง และฆาตกรไม่ได้รีบร้อนในการฆ่า และใช้เวลากับการฆ่าเหยื่อ ฆาตกรเกลียดเพศหญิง ใจเย็นไม่ได้ฆ่าจากการระเบิดอารมณ์โกรธหรือความฉุนเฉียว

เมื่อเทียบรูปแบบกับฆาตกรกับผู้ต้องสงสัยแมรี่ เพียร์ซี่สรุปได้ดังนี้
– แมรี่ เพียร์ซี่ไม่ได้อาศัยย่านจุดเกิดเหตุ ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นฆาตกรได้
– แมรี่ เพียร์ซี่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ แต่การฆาตกรรมโดยแจ๊คเดอะริปเปอร์ไม่จำเป็นต้องทำโดยผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์
– ไม่มีหลักฐานอะไรบ่งบอกว่าเธอเกลียดเพศหญิง แมรี่ฆ่าด้วยความโกรธเพราะความรัก

เมื่อเทียบรูปแบบกับฆาตกรกับผู้ต้องสงสัยฟรานซิส ทัมเบิลตี้สรุปได้ดังนี้
– ฟรานซิส ทัมเบิลตี้ย้ายมาจากอเมริกาไม่ได้มีความชำนาญในพื้นที่เกิดเหตุ
– ฟรานซิส ทัมเบิลตี้มีความพยายามจะเป็นหมอ เขารู้ว่าอวัยวะแต่ละส่วนอยู่ตรงไหน แต่ไม่ได้มีความชำนาญในการชำแหละ ตรงนี้ตรงกับฆาตกร
– มีการระบุว่าฟรานซิส ทัมเบิลตี้เคยผิดหวังในความรักจากผู้หญิงและมีพฤติกรรมเกลียดผู้หญิง ไม่ชอบกลิ่นของผู้หญิง ตรงนี้ตรงกับฆาตกร
– ฟรานซิส ทัมเบิลตี้มีลักษณะใจเย็น การทำงานของเขามีการไตร่ตรอง ชอบจัดลำดับความสำคัญ 

จาก โปรไฟล์ของฆาตกรและของฟรานซิส ทัมเบิลตี้นั้นตรงกันทุกข้อ จึงมีความเป็นไปได้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์นั้นคือฟรานซิส ทัมเบิลตี้ แต่อย่างไรก็ตามจากหลักฐานต่างๆ ที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ไม่อาจสรุปได้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์คือเขา เป็นเพียงผู้ต้องสงสัยที่ตรงกับฆาตกรที่สุดเท่านั้น
สก๊อต แลนด์ยาร์ดตัดสินใจปิดคดีของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ลงใน ปี พ.ศ. 2435 ทั้งๆ ทียังไม่สามารถจับฆาตกรได้ แต่เนื่องจากผู้ต้องสงสัยสองรายสำคัญอย่าง มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ ได้จบชีวิตลงและ อารอน โคสมินสกี้ ก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือในโรงพยาบาลโรคจิต





แต่ไม่นานมานี้! Dr. Jari Louhelainen ก็ได้ลองตรวจสอบดีเอ็นเอบนผ้าคลุมไหล่ของ Catherine Eddowes ทีเป็นหนึ่งในเหยื่อของ Jack The Ripper ก่อนจะพบว่าดีเอ็นเอที่ปรากฏตรงกับชายผู้ชื่อว่า Aaron Kosminski
โดย หลักฐานผ้าคลุมไหล่ชิ้นนี้ได้มาจาก Russell Edwards ซึ่งประมูลหลักฐานปริศนาชิ้นนี้มาเมื่อหลายปีก่อน แต่เขาเพิ่งมาตัดสินใจมอบให้กับด็อกเตอร์เพื่อทำการตรวจสอบ…และนั่นทำให้ชาว โลกถึงกับช็อคที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของ Jack The Ripper
ซึ่ง Aaron Kosminski คือชาวยิวที่หนีมาในกรุงลอนดอน และเมื่อปี 1987 ชายผู้นี้ก็เคยถูกสันนิษฐานเช่นกันโดย Dr. Robert Andersonว่าชายผู้นี่แหละมีแนวโน้มว่าจะเป็น Jack The Ripper ตัวจริง…และเมื่อผนวกเข้ากับหลักฐานดีเอ็นเอที่เพิ่งค้นพบก็ยิ่งตอกย้ำว่า Kosminski นี่ล่ะ ที่เป็นฆาตกรตัวจริงในตำนานลี้ลับเรื่องนี้




ที่มา:http://teen.mthai.com/variety/78767.html

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review/แนะนำการใช้งานโปรแกรม

Review/แนะนำการใช้งานโปรแกรม 

 LINE PC

LINE PC  : ในยุคสมัยนี้นั้น หากพูดถึงโปรแกรม LINE บน พีซี ตัวนี้ต้องขอเกริ่นนำก่อนว่า หลายๆ คนคงจะรู้จัก แอพไลน์ (LINE App) ที่เป็น โปรแกรมแชท (Chat) พูดคุยบน โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน แจกฟรี ชื่อดังของโลก (คู่แข่ง WhatsApp) พัฒนาโดยทีมผู้พัฒนาจากประเทศญี่ปุ่น ที่ได้เปิดตัว โปรแกรมแชท ในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 2011 ปัจจุบันมีคนใช้งานมากกว่า 600 ล้านคน จาก 231 ประเทศทั่วโลก ซึ่งดูยิ่งใหญ่และเยอะมากๆ เลยทีเดียว
โปรแกรม LINE ถูกพัฒนาขึ้น โดยมีแรงบันดาลใจมาจาก หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้คนชาวญี่ปุ่นได้ มีโอกาสติดต่อสื่อสารกันได้ง่าย และ สะดวกมากยิ่งขึ้น ในทุกๆ แพลตฟอร์ม ซึ่งคำว่า แพลตฟอร์มหมายถึง ทุกๆ ระบบปฏิบัติการ (OS) ทั้งบนมือถือ และ บนเครื่อง PC คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จนเป็นเหตุที่มาให้พวกเรา เรียกว่า LINE PC นั่นเอง
หากใครเป็นผู้ใช้ โทรศัพท์มือถืออย่าง Android หรือบน iOS คงรู้จัก แอพพลิเคชั่น หรือเคย โหลด LINE เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ว่า ตัวที่คุณกำลังจะดาวน์โหลดต่อไปนี้เป็น โปรแกรมที่จะทำให้คุณสามารถติดต่อกับเพื่อนของคุณผ่านคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) กันได้อย่างอิสระ โดย LINE บน PC ตัวนี้จะสามารถทำได้ทุกอย่างเหมือนกับ แอพฯ LINE บนสมาร์ทโฟน เช่น แชท (Chat) ข้อความ ส่ง LINE Sticker น่ารักๆ และอื่นๆ
แต่อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้ก็ยังมีหลายฟังก์ชั่นที่ไม่สามารถทำบน PC ได้ แต่บางส่วนเท่านั้น โดยก่อนที่จะใช้โปรแกรมคุณจะต้องลงทะเบียนอีเมล์ผ่านสมาร์ทโฟนก่อน (เปิดแอพฯ LINE > Settings > Email Registration) เพียงขั้นตอนสั้นๆ แค่นี้ คุณก็สามารถใช้โปรแกรมแชท LINE PC (LINE for PC) ไปพูดคุยกับเพื่อน บนคอมพิวเตอร์ PC เครื่องโปรดของคุณได้เลย (ดูวิธีการลงทะเบียนด้านล่าง)
โปรแกรมถูกพัฒนาและออกแบบมาให้สามารถใช้งานกันบนระบบปฏิบัติการ Windows ทุกรุ่น หากใครใช้ Windows 8 ขอแนะนำให้ ดาวน์โหลดไปในรูปแบบของ แอพพลิเคชั่นไปเลย (ลิงค์ดาวน์โหลด แจ้งเอาไว้แล้วในหน้าถัดไป) รวมถึงใครที่ใช้เครื่อง Mac ก็มีให้ ดาวน์โหลด ไปใช้ไปติดตั้งด้วยเช่นกัน และ เวอร์ชั่นล่าสุด สนับสนุนการใช้งานภาษาไทย เต็มรูปแบบแล้ว


Program Features (คุณสมบัติ ของ โปรแกรม LINE PC อย่างละเอียดยิบเลย)
  • สามารถเปิดแชท LINE ได้จากบนเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) โดยที่ไม่ต้องมานั่งแชท LINE ผ่านมือถือ ขณะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ
  • สามารถส่งภาพอิโมจิ (Emoji) รูปภาพต่างๆ (Images) คลิปวีดีโอ (Video Clip) รวมไปถึง ข้อความเสียง (Voice Messages) ได้เหมือนเล่น LINE ผ่านมือถือ
  • สามารถส่ง สติ๊กเกอร์ไลน์ (LINE Stickers) ได้ผ่านโปรแกรม LINE PC เลย เหมือนเล่นแอพ LINE จากมือถือเช่นกัน นอกจากนี้แล้วยังรองรับ และ สนับสนุนสติ๊กเกอร์ แบบที่เคลื่อนไหวได้ (Animated Sticker) อีกด้วย
  • เวลามีเพื่อนส่งสติ๊กเกอร์มาให้ขณะนั้น ที่มุมขวาล่างส่วนของการแจ้งเตือน (Notifications) ก็มีพรีวิวตัวอย่างสติ๊กเกอร์เล็กๆ ขึ้นมาด้วย
  • สติ๊กเกอร์ ที่ซื้อผ่านแอพมาจากบนมือถือ (Purchased Stickers) ก็สามารถมาใช้บน LINE บน PC ได้ด้วยเช่นกัน โดยไม่ต้องไปตั้งค่า หรือเปลี่ยนแปลงอะไรใดๆ เลย มันจะโผล่ขึ้นมาเอง โดยอัตโนมัติ
  • สามารถใช้ LINE Free Call หรือบริการโทรฟรีผ่านเน็ต จากเครื่องพีซี (คุยผ่านไมโครโฟน) ไปยังผู้ใช้ แอพ LINE บนมือถือได้ หรือแม้แต่ผู้ใช้ LINE PC ด้วยกันเองได้
  • โปรแกรมมีขนาดเล็ก กินทรัพยากรเครื่องต่ำมาก
  • สามารถ ปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษร (Font) และ ปรับขนาดตัวอักษร (Font Size) ตามใจชอบ
  • ปรับการแจ้งเตือนได้ 2 รูปแบบคือ การแจ้งเตือนแบบหน้าต่างป้อปอัพ (Pop-up Messages) และ แบบเสียง (Sound) และปรับการแจ้งเตือนต่อเมื่อ
    • มีข้อความใหม่เข้ามา
    • มีการเชิญเข้าร่วมกลุ่ม (Group Invitations)
  • มีฟังก์ชั่นชื่อว่า "See Through (ซีทรู)" ของโปรแกรมสามารถทำหน้าจอให้โปร่งใส เพื่อมองทะลุโปรแกรมได้ สามารถปรับระดับความโปร่งใสได้ตามต้องการ จุดประสงค์เพื่อไม่ให้เป็นการ รบกวนการทำงาน และ การใช้งานทั่วไป สามารถปรับแยกได้ในแต่ละหน้าต่าง แต่ละคน หรือ แต่ละกลุ่มที่คุยกัน (ฟังก์ชั่นนี้เด็ดมาก)
  • สามารถส่งไฟล์ต่างๆ ไปมาได้อย่างโดยตรง โดยส่งไฟล์ได้ทุกประเภท เช่น ไฟล์ PDF ไฟล์จาก โปรแกรม Excel หรือ โปรแกรม Word และอื่นๆ
  • สามารถส่งได้เช่นกัน ในขนาดไฟล์ ได้มีขนาดมากถึง 1,024 MB. หรือ 1 GB.
  • สามารถเปิดวีดีโอคลิป (Video Clip) ที่ถูกส่งมาได้เลย โดยไม่ต้องเซฟลงเครื่องแล้วใช้ โปรแกรมดูหนัง เปิดอีกทีเหมือนแต่ก่อนแล้ว
  • สามารถเข้าสู่ระบบ (Login) ได้ทั้งการพิมพ์ชื่อผู้ใช้ (Username) และ รหัสผ่าน (Password) หรือ ผ่าน QR Code ได้
  • มีความสามารถของ โปรแกรมจับภาพหน้าจอ ที่ให้คุณได้จับภาพหน้าจอจากส่วนใดก็ได้บนหน้าจอ แล้วสามารถส่งให้เพื่อน หรือเข้ากรุ๊ปกลุ่มสนทนาได้เลยทันที โดยไม่ต้องเซฟลงเครื่องก่อน สะดวกมากๆ สำหรับคนที่ทำงาน และ ต้องประสานงานกัน
  • หลังจากจับภาพหน้าจอเสร็จภายในโปรแกรมแล้ว มีความสามารถของ โปรแกรมแต่งรูป ในการแต่งรูปได้เลย เช่น ใส่ข้อความ ใส่รูปทรงต่างๆ เข้าไปได้เลยเช่น ใส่กรอบสี่เหลี่ยม วงกลม ลากเส้น ใส่ลูกศรเข้าไปได้ เบ็ดเสร็จจากในโปรแกรมเลย
  • สนับสนุน Windows 8 และ Windows 10 ได้อย่างเต็มรูปแบบ
  • มีการแสดงไทม์ไลน์ (Timeline) ว่าเพื่อนอัพรูป หรือ อัพเดทสถานะอะไรอย่างไรบ้าง และแก้ไขข้อมูลบนไทม์ไลน์ ได้อีกด้วย
  • สามารถเลือกได้เฉพาะคนว่าจะแสดง (Shown) หรือซ่อน (Hidden) ไทม์ไลน์ หรือไม่ หากคนไหนไม่ชอบก็ไม่ต้องเลือกให้แสดง
  • ลงทะเบียน LINE for PC ด้วยอีเมล์ครั้งเดียว สามารถใช้ได้กับเครื่องพีซีทุกเครื่อง
  • มีวิธีการ ลงทะเบียนง่ายๆ ไม่ซับซ้อน (ดูวิธีด้านล่าง)
  • และความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย

การดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรมไลน์ Line For Pc


 อย่างแรกที่เราจะต้องทำคือการเข้าไปดาวน์โหลดตัวโปรแกรม Line ก่อน โดยเข้าไปที่เว็บ http://line.me/th/download ซึ่งจะมีลิ้งให้เราได้เลือกดาวน์โหลดกันได้เลย



จากนั้นให้เราเลือกโปรแกรมที่ตรงกับระบบปฏิบัติการของเครื่องตอมพิวเตอร์ของเรานะครับ สำหรับผมจะเลือก ตัว Windown นะครับ หลังจากที่โหลดเสร็จแล้วก็จะเข้ามาสู่ขั้นตอนการติดตั้ง


ให้เราเลือกดับเบิ้ลคลิ๊กที่ตัวโปรแกรม Line เพื่อเข้าสู้หน้าติดตั้งแล้วทำตามขั้นตอนตามภาพด้านล้างได้เลย







คอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์

         วันนี้นะคับผมจะมาถึงเรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์นะมีอะไรบ้างและสำคัญกับเราแค่ไหน เรามาเริ่มจากคอมพิวเตอร์เลยนะคับ

คอมพิวเตอร์คืออะไร

     คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อสังคมของมนุษย์เราในปัจจุบัน แทบทุกวงการล้วนนำคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้งาน จนกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตและ การทำงานในชีวิตประจำวัน ฉะนั้นการเรียนรู้เพื่อทำความรู้จักกับคอมพิวเตอร์จึงถือเป็นสิ่งที่มีความ จำเป็นเป็นอย่างยิ่ง

เพื่อที่จะทราบว่าคอมพิวเตอร์คืออะไร ทำงานอย่างไร และมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไร เราจึงควรทำการศึกษาในหัวข้อต่อไปนี้

- ความหมายของคอมพิวเตอร์
- การทำงานของคอมพิวเตอร์
- ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์
- ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

ความหมายของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"




  คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป  นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้

การทำงานของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตามจะมีลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ Input Process และ output ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานดังภาพ




ขั้นตอนที่ 1 : รับข้อมูลเข้า (Input)

เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพหรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อมูล (Process)

เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่
ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม
นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3 : แสดงผลลัพธ์ (Output)

เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้  โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพหรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า"จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้

ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์

เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจำกัดของมนุษย์ เรียกว่า
4 S special ดังนี้

1. หน่วยเก็บ (Storage)
หมายถึงความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็นจุด เด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย

2. ความเร็ว (Speed)
หมายถึงความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed)
โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด
เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน

3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting)
หมายถึงความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติโดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น

4. ความน่าเชื่อถือ (Sure)
หมายถึงความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลที่มนุษย์กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงกล่าวคือหากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมเป็นอย่างมาก  ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือการใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆเช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล (word processing) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดังต่อไปนี้

     1. งานธุรกิจเช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งานประมวลคำ และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิตและการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทำให้การผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย
     2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในนำมาใช้ในส่วนของการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อนเช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ  หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษาโรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิม และให้การรักษาได้รวดเร็วขึ้น
     3. งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่งซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจรเช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน
    4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน
     5. งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น
   6. การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซึ่งทำให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด
    ก็จบไปแล้วนะครับในส่วนของคอมพิวเตอร์ คราวนี้เรามาดูในส่วนของเครือข่ายคอมพิวเตอร์กันบ้างว่ามีอะไรบ้าง

 

เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (อังกฤษ: computer network; ศัพท์บัญญัติว่า ข่ายงานคอมพิวเตอร์) คือเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวน ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครือข่าย (โหนดเครือข่าย) จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีคือ อินเทอร์เน็ต
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง
การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผล, หน่วยความจำ, หน่วยจัดเก็บข้อมูล, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้
อุปกรณ์เครือข่ายที่สร้างข้อมูล, ส่งมาตามเส้นทางและบรรจบข้อมูลจะเรียกว่าโหนดเครือข่าย. โหนดประกอบด้วยโฮสต์เช่นเซิร์ฟเวอร์, คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย อุปกรณ์สองตัวจะกล่าวว่าเป็นเครือข่ายได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการในเครื่องหนึ่ง สามารถที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกระบวนการในอีกอุปกรณ์หนึ่งได้
เครือข่ายจะสนับสนุนแอปพลิเคชันเช่นการเข้าถึงเวิลด์ไวด์เว็บ, การใช้งานร่วมกันของแอปพลิเคชัน, การใช้เซิร์ฟเวอร์สำหรับเก็บข้อมูลร่วมกัน, การใช้เครื่องพิมพ์และเครื่องแฟ็กซ์ร่วมกันและการใช้อีเมลและโปรแกรมส่งข้อ ความโต้ตอบแบบทันทีร่วมกัน
 
การเชื่อมโยงเครือข่าย

สื่อกลางการสื่อสารที่ใช้ในการเชื่อมโยงอุปกรณ์เพื่อสร้างเป็นเครือข่าย คอมพิวเตอร์ประกอบด้วยสายเคเบิลไฟฟ้า (HomePNA, สายไฟฟ้าสื่อสาร, G.hn), ใยแก้วนำแสง และคลื่นวิทยุ (เครือข่ายไร้สาย) ในโมเดล OSI สื่อเหล่านี้จะถูกกำหนดให้อยู่ในเลเยอร์ที่ 1 และที่ 2 หรือชั้นกายภาพและชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
ครอบครัวของสื่อการสื่อสารที่ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวางและถูกนำมาใช้ในเทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) เรียกว่า อีเธอร์เน็ต มาตรฐานของสื่อกลางและของโพรโทคอลที่ช่วยในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ในเครือ ข่ายอีเธอร์เน็ตถูกกำหนดโดยมาตรฐาน IEEE 802. อีเธอร์เน็ตในโลกไซเบอร์มีทั้งเทคโนโลยีของ LAN แบบใช้สายและแบบไร้สาย อุปกรณ์ของ LAN แบบใช้สายจะส่งสัญญาณผ่านสื่อกลางที่เป็นสายเคเบิล อุปกรณ์ LAN ไร้สายใช้คลื่นวิทยุหรือสัญญาณอินฟราเรดเป็นสื่อกลางในการส่งผ่านสํญญาณ


เทคโนโลยีแบบใช้สาย

เทคโนโลยีแบบใช้สายต่อไปนี้เรียงลำดับตามความเร็วจากช้าไปเร็วอย่างหยาบๆ

สายคู่บิดเป็นสื่อที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดสำหรับการสื่อสาร โทรคมนาคมทั้งหมด สายคู่บิดประกอบด้วยกลุ่มของสายทองแดงหุ้มฉนวนที่มีการบิดเป็นคู่ๆ สายโทรศัพท์ธรรมดาที่ใช้ภายในบ้านทั่วไปประกอบด้วยสายทองแดงหุ้มฉนวนเพียง สองสายบิดเป็นคู่ สายเคเบิลเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (แบบใช้สายอีเธอร์เน็ตตามที่กำหนดโดยมาตรฐาน IEEE 802.3) จะเป็นสายคู่บิดจำนวน 4 คู่สายทองแดงที่สามารถใช้สำหรับการส่งทั้งเสียงและข้อมูล การใช้สายไฟสองเส้นบิดเป็นเกลียวจะช่วยลด crosstalk และการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างสายภายในเคเบิลชุดเดียวกัน ความเร็วในการส่งอยู่ในช่วง 2 ล้านบิตต่อวินาทีถึง 10 พันล้านบิตต่อวินาที สายคู่บิดมาในสองรูปแบบคือคู่บิดไม่มีต้วนำป้องกัน(การรบกวนจากการเหนี่ยวนำ แม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก) (unshielded twisted pair หรือ UTP) และคู่บิดมีตัวนำป้องกัน (shielded twisted pair หรือ STP) แต่ละรูปแบบออกแบบมาหลายอัตราความเร็วในการใช้งานในสถานการณ์ต่างกัน
รูปแสดงสาย UTP
รูปแสดง STP 
สายโคแอคเชียลถูกใช้อย่างแพร่หลายสำหรับระบบเคเบิลทีวี, ในอาคารสำนักงานและสถานที่ทำงานอื่นๆ ในเครือข่ายท้องถิ่น สายโคแอคประกอบด้วยลวดทองแดงหรืออะลูมิเนียมเส้นเดี่ยวที่ล้อมรอบด้วยชั้น ฉนวน (โดยปกติจะเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นกับไดอิเล็กทริกคงที่สูง) และล้อมรอบทั้งหมดด้วยตัวนำอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันการเหนี่ยวนำแม่เหล็ก ไฟฟ้าจากภายนอก ฉนวนไดอิเล็กทริกจะช่วยลดสัญญาณรบกวนและความผิดเพี้ยน ความเร็วในการส่งข้อมูลอยู่ในช่วง 200 ล้านบิตต่อวินาทีจนถึงมากกว่า 500 ล้านบิตต่อวินาที
 
รูปแสดงสายโคแอคเชียล

ใยแก้วนำแสง เป็นแก้วไฟเบอร์ จะใช้พัลส์ของแสงในการส่งข้อมูล ข้อดีบางประการของเส้นใยแสงที่เหนือกว่าสายโลหะก็คือมีการสูญเสียในการส่ง น้อยและมีอิสรภาพจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและมีความเร็วในการส่งรวดเร็วมากถึง ล้านล้านบิตต่อวินาที เราสามารถใช้ความยาวคลื่นที่แตกต่างของแสงที่จะเพิ่มจำนวนของข้อความที่ถูก ส่งผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสงพร้อมกันในเส้นเดียวกัน

เทคโนโลยีไร้สาย

ไมโครเวฟบนผิวโลก การสื่อสารไมโครเวฟบนผิวโลกจะใช้เครื่องส่งและเครื่องรับสัญญาณจากสถานีบนผิวโลกที่มีลักษณะคล้ายจานดาวเทียมไมโครเวฟภาคพื้นดินอยู่ในช่วงกิกะเฮิรตซ์ที่ต่ำซึ่งจำกัดการสื่อสารทั้งหมดด้วยเส้นสายตาเท่านั้นสถานีทวนสัญญาณมีระยะห่างประมาณ48กิโลเมตร (30 ไมล์)

ดาวเทียมสื่อสาร การสื่อสารดาวเทียมผ่านทางคลื่นวิทยุไมโครเวฟที่ไม่ได้เบี่ยงเบนโดยชั้นบรรยากาศของโลกดาวเทียมจะถูกส่งไปประจำการในอวกาศที่มักจะอยู่ในวงโคจรgeosynchronousที่35,400กิโลเมตร (22,000 ไมล์) เหนือเส้นศูนย์สูตร ระบบการโคจรของโลกนี้มีความสามารถในการรับและถ่ายทอดสัญญาณเสียง, ข้อมูลและทีวี

ระบบเซลลูลาร์และPCS ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารวิทยุหลายเทคโนโลยี ระบบแบ่งภูมิภาคที่ครอบคลุมออกเป็นพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หลายพื้นที่ แต่ละพื้นที่มีเครื่องส่งหรืออุปกรณ์เสาอากาศถ่ายทอดสัญญาณวิทยุพลังงานต่ำ เพื่อถ่ายทอดสัญญาณเรียกจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งข้างหน้า

เทคโนโลยีวิทยุและการแพร่กระจายสเปกตรัม เครือข่ายท้องถิ่นไร้สายจะใช้เทคโนโลยีวิทยุความถี่สูงคล้ายกับโทรศัพท์มือ ถือดิจิทัลและเทคโนโลยีวิทยุความถี่ต่ำ. LAN ไร้สายใช้เทคโนโลยีการแพร่กระจายคลื่นความถี่เพื่อการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ หลายชนิดในพื้นที่จำกัด. IEEE 802.11 กำหนดคุณสมบัติทั่วไปของเทคโนโลยีคลื่นวิทยุไร้สายมาตรฐานเปิดที่รู้จักกัน คือ Wifi

การสื่อสารอินฟราเรด สามารถส่งสัญญาณระยะทางสั้นๆมักไม่เกิน 10 เมตร ในหลายกรณีส่วนใหญ่ การส่งแสงจะใช้แบบเส้นสายตา ซึ่งจำกัดตำแหน่งการติดตั้งของอุปกรณ์การสื่อสาร

เครือข่ายทั่วโลก (global area network หรือ GAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้สำหรับการสนับสนุนการใช้งานมือถือข้ามหลายๆ LAN ไร้สาย หรือในพื้นที่ที่ดาวเทียมครอบคลุมถึง ฯลฯ ความท้าทายที่สำคัญในการสื่อสารเคลื่อนที่คือการส่งมอบการสื่อสารของผู้ใช้ จากพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่หนึ่ง ใน IEEE 802 การส่งมอบนี้เกี่ยวข้องกับความต่อเนื่องของ LAN ไร้สายบนผิวโลก .


ชนิดของเครือข่าย

ระบบเครือข่ายจะถูกแบ่งออกตามขนาดของเครือข่าย ซึ่งปัจจุบันเครือข่ายที่รู้จักกันดีมีอยู่ 6 แบบ ได้แก่
  • เครือข่ายภายใน หรือ แลน (Local Area Network: LAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่นอยู่ในห้อง หรือภายในอาคารเดียวกัน
  • เครือข่ายวงกว้าง หรือ แวน (Wide Area Network: WAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกัน ในระยะทางที่ห่างไกล อาจจะเป็น กิโลเมตร หรือ หลาย ๆ กิโลเมตร
  • เครือข่ายงานบริเวณนครหลวง หรือ แมน (Metropolitan area network : MAN)
  • เครือข่ายของการติดต่อระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือ แคน (Controller area network) : CAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ติดต่อกันระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ (Micro Controller unit: MCU)
  • เครือข่ายส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal area network) : PAN) เป็นเครือข่ายระหว่างอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล เช่น โน้ตบุ๊ก มือถือ อาจมีสายหรือไร้สายก็ได้
  • เครือข่ายข้อมูล หรือ แซน (Storage area network) : SAN) เป็นเครือข่าย (หรือเครือข่ายย่อย) ความเร็วสูงวัตถุประสงค์เฉพาะที่เชื่อมต่อภายในกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลชนิด ต่างกันด้วยแม่ข่ายข้อมูลสัมพันธ์กันบนคัวแทนเครือข่ายขนาดใหญ่ของผู้ใช้
อุปกรณ์เครือข่าย
  • เซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องแม่ข่าย เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หลักในเครือข่าย ที่ทำหน้าที่จัดเก็บและให้บริการไฟล์ข้อมูลและทรัพยากรอื่นๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ใน เครือข่าย โดยปกติคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์มักจะเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะ สูง และมีฮาร์ดดิสก์ความจำสูงกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย
  • ไคลเอนต์ (Client) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องลูกข่าย เป็นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายที่ร้องขอ บริการและเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่จัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไคลเอนต์ เป็นคอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้แต่ละคนในระบบเครือข่าย
  • ฮับ (HUB) หรือ เรียก รีพีตเตอร์ (Repeater) คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกลุ่มคอมพิวเตอร์ ฮับ มีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง ไปยังพอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือ ข่าย เพราะฉะนั้นถ้ามีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากจะทำให้อัตราการส่งข้อมูลลดลง
  • เนทเวิร์ค สวิตช์ (Switch) คืออุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 2 และทำหน้าที่ส่งข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังพอร์ตเฉพาะที่เป็นปลาย ทางเท่านั้น และทำให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือส่งข้อมูลถึงกันในเวลา เดียวกัน ดังนั้น อัตราการรับส่งข้อมูลหรือแบนด์วิธจึงไม่ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนิยมเชื่อมต่อแบบนี้มากกว่าฮับเพราะลดปัญหาการชนกันของข้อมูล
  • เราต์เตอร์ (Router)เป็นอุปรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 3 เราท์เตอร์จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ข้อแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อที่จะกำหนดและส่งแพ็กเก็ตต่อไป เราท์เตอร์จะมีตัวจัดเส้นทางในแพ็กเก็ต เรียกว่า เราติ้งเทเบิ้ล (Routing Table) หรือตารางจัดเส้นทางนอกจากนี้ยังส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายที่ให้โพรโทคอลต่าง กันได้ เช่น IP (Internet Protocol) , IPX (Internet Package Exchange) และ AppleTalk นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  • บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments) เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบ ไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่าน ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layer จึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น
บริดจ์ มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่ เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยๆ เหล่านั้นสามารถติดต่อกับเครือข่ายย่อยอื่นๆ ได้
  • เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ข้อสอบ Onet คอมพิวเตอร์

  วันนี้นะครับเจ้าของโพสต์จะมา เฉลยข้อสอบO-netในหลายๆปีที่ผ่านมานะคับ จะเป็นวิชาคอมพิวเตอร์
แล้วทำไมผมถึงมาเฉลยข้อสอบของคอมพิวเตอร์ล่ะทำไมไม่ไปเฉลยวิชาอื่นเช่นคณิตศาสตร์หรืออังกฤษ ก็เพราะมันเป็นวิชาที่ถูกมองข้ามไปถึงบางคนอาจคิดว่ามันง่ายแต่พอเจอเข้าจริงๆก็ไม่รู้ว่าข้อนี้มันตอบยังไง เพราะบางเรื่องครูเขาก็ไม่ได้สอนมาหรือบ้างเรื่องก็เป็นเรื่องใกล้มากจนเราไม่ได้สนใจอะไร วันนี้ผมเลยจะมาเฉลยว่าข้อสอบในปีที่ผ่านๆมาตอบยังไงกัน
  



1.ข้อใดไม่ใช่ระบบปฎิบัติการที่นำมาใช้บนอุปกรณ์พกพาประเภทsmartphone
   1. Ubuntu
   2. iPhone OS
   3. Andriod
   4. Symbian

   ข้อ1 Ubuntu เป็นระุบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ไม่มีในsmartphone
   ข้อ2 เป็นระบบปฎิบัติการของsmartphone บริษัทapple
   ข้อ3 เป็นระบบปฎิบัติการของsmartphone บริษัทGoogle
   ข้อ4 ก็เป็นเป็นระบบปฎิบัติการของsmartphoneเช่นกันท

ดังนั้นข้อนี้จะตอบข้อ 1
 

2.ไฟล์ประเภทใดในข้อต่อไปนี้เก็บข้อมูลในลักษณะตัวอักษร
   1. ไฟล์เพลง MP3 (.mp3)
   2. ไฟล์รูปประเภท JPEG (.jpg)
   3. ไฟล์แสดงผลหน้าเว็บ (.html)
   4. ไฟล์วิดิโอประเภท Movie (.mov)

   ข้อ1 ไฟล์เพลงก็ต้องเป็นไฟล์เสียงไม่มีอะไรเลยที่เป็นตัวอักษร
   ข้อ2 ไฟล์รูปก็เป็นไฟล์ประเภทรูปภาพการเก็บไม่ได้เก็บในลักษณะตัวอักษร
   ข้อ3 ไฟล์แสดงผลหน้าเว็บเวลาจัดเก็บข้อมูลจะเก็บในลักษณะตัวอักษร
   ข้อ4 ไฟล์วิดิโอเวลาจัดเก็บจะจัดเก็บเป็นไฟล์วิดิโอ

ดังนั้นข้อนี้จะตอบข้อ 3


3.ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ระบบปฎิบัติการคอมพิวเตอร์
   1. Microsoft Windows
   2. Ubuntu
   3. Symbian
   4. MAC Address

   ข้อ1 Microsoft Windows เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง
   ข้อ2 Ubuntu เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในตระกูล Linux
   ข้อ3 Symbian เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือ Smart Phone
   ข้อ4 MAC Address ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
 
ดังนั้นข้อนี้จะตอบข้อ 4


4.รูปนี้เป็นหัวเชื่อมต่อประเภทใด และใช้สำหรับงานประเภทใด
  
   1. VGA ใช้ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับจอแสดงผล
   2. DVI ใช้ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับจอแสดงผล
   3. USB ใช้ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์เสริม
   4. FireWire ใช้ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์เสริม



  ข้อนี้จะตอบข้อ1นะครับหน้าตาจะแบบในรูปที่โจทย์ให้เลย
  หัวต่อDVIจะมีหน้าตาแบบนี้
 
  ส่วนตัวต่อUSBจะมีหน้าตาที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างนี้
 
  ส่วนตัวต่อFireWire

ดังนั้นข้อนี้จะตอบข้อ 1


5.การหาสินค้าและบริการผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรียกว่าอะไร
   1. E-Payment 

   2. E-Learning
   3. E-Sourcing 

   4. E-News

   E-Payment คือ ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์
   E-Learning คือ การเรียน การสอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม
   E-Sourcing คือ กระบวนการจัดซื้อจัดหาทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เนต

   E-News คือ หนังสือพิมพ์ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นการเสนอข่าวสารในรูปแบบหนังสือพิมพ์ทั่วไปโดยผ่านระบบอินเตอร์เนต

ดังนั้นข้อนี้จะตอบข้อ

เห็นหรือเปล่าล่ะว่าไม่ยากอะไรเลย เราแค่ต้องหาความรู้ด้านนี้ให้มากๆ อ่านข้อสอบเก่าๆบ่อยๆ แค่นี้เราก็สามารถทำได้แน่นอนครับ

ที่มา:https://pakornkrits.wordpress.com/tag/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-o-net-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%
E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E/

http://www.admission.in.th/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-o-net-%E0%B8%A1-6-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%A2-2552/

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9F%E0%B8%B2%E0%B8%A2

http://beerr10a.blogspot.com/2012_02_01_archive.html